Black Mirror Season 7 กลับมาอีกครั้งกับซีรีส์ไซไฟลุ้นระทึกสัญชาติอังกฤษอย่าง Black Mirror ที่กลับมารอบนี้ จัดเต็มพล็อตล้ำ ๆ อิงเทคโนโลยี ไม่มีแล้วผีสางแบบซีซั่นก่อน รอบนี้กลิ่นอายความเป็น Black Mirror ต้นฉบับหวนคืนกลับมา พล็อตนำประเด็นอย่าง Subscription Model, AI, Parallel Universe ฯลฯ มาต่อยอดแบบสุดโต่งอย่างสนุกสนาน
ตอนที่ 1: Common People
เรื่องราวของคู่สามีภรรยาที่ชีวิตผาสุกดี แต่วันหนึ่งภรรยาก็ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง ทางเลือกเดียวที่สามีเลือกได้คือใช้บริการของ Rivermind สตาร์ตอัปน้องใหม่ที่รักษาอาการป่วยผ่านการส่งสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ แต่ต้องแลกกับค่าบริการแบบ Subscription รายเดือน ที่ถ้าไม่ทนกับบริการที่แย่ลง ๆ ก็ต้องกัดฟันจ่ายเงินอัปเกรดระดับบริการของตัวเองให้สูงขึ้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
ตอนเปิดตัว เป็นอะไรที่ใจร้ายได้สมกับเป็น Black Mirror มาก แกนของตอนนี้คือบริการ Subscription ที่ไม่ใช่แค่เพื่อความบันเทิงอีกต่อไป แต่เล่นกับความเป็นความตายของคน ถ้าไม่จ่ายก็ต้องตาย คนที่คอยดูแลก็ต้องหามรุ่งหามค่ำหาเงินมา Subscribe อย่างต่อเนื่อง ดูเผิน ๆ ก็คล้ายกับการหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน ไหนจะความเขี้ยวของบริษัทที่เปิดตัวระดับบริการใหม่ออกมาเรื่อย ๆ ทำให้ระดับบริการเดิมนั้นคุณภาพตกลง เช่น คุยกันอยู่ดี ๆ คนป่วยพูดโฆษณาแทรกระหว่างบทสนทนางี้ หรือ คนป่วยไม่สามารถเดินทางได้ทั่วถึงเพราะต้องเดินทางแค่ในพื้นที่ที่มีเสาสัญญาณ (คล้าย ๆ สัญญาณมือถือ) ทั้งหมดทั้งมวลมันเป็นการบีบอ้อม ๆ ให้จ่ายเพิ่มเพื่อบริการที่ดีขึ้น
พอเริ่มใช้บริการ ช่วงแรก ๆ ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาก็ยังปกติอยู่ แต่พออยู่ไปนาน ๆ ก็พบว่า ปัจจัยหลาย ๆ อย่างเริ่มกระทบความเป็นอยู่และความสัมพันธ์ เช่น การที่ภรรยาต้องนอนมากขึ้นเพื่อชาร์จพลัง หรือ การที่สามีต้องทำงานสายตัวแทบขาด ลามไปทำไลฟ์บ้าระห่ำเพื่อหาเงินเพิ่ม จนถึงจุดนึง ความตึงเครียดก็ไปถึงขีดสุด พอดูจบแล้วดิ่ง ซึม เคว้ง เป็นรสชาติแบบที่ชวนให้คิดว่า อาา Black Mirror กลับมาแล้วสินะ
ตอนที่ 2: Bête Noire
เรื่องของ มาเรีย นักวิจัยในบริษัทขนม ที่ได้พบปะกับ เวริตี้ เพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยมัธยมอีกครั้งในที่ทำงาน โดยมาเรียนั้นก็ไม่ค่อยถูกชะตากับเวริตี้นัก เพราะเวริตี้เป็นเด็กเนิร์ดท่าทางประหลาด ไม่มีใครยุ่งด้วย ไม่นานนัก มาเรียก็เริ่มเผชิญสถานการณ์แปลก ๆ ความเป็นจริงรอบตัวเธอเริ่มบิดเบี้ยวไม่เหมือนที่เคยรับรู้ ทำให้สงสัยว่า เป็นที่ตัวมาเรียเอง หรือ มีพลังงานลึกลับบางอย่างเล่นงานเธออยู่
เป็นตอนที่ระหว่างดู รู้สึกว่ากลิ่นอายเทคโนโลยีไม่ค่อยออกเท่าไร มันมีความเหมือนพล็อตแนว Drama บูลลี่กันมากกว่า แต่เพราะมาเรียเจอเรื่องแปลก ๆ เราเลยลุ้นว่าตอนจบมันต้องเฉลยไปในมุมเทคโนโลยีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เป็นอะไรที่ว้าวพอสมควร แต่ก็ดูเว่อร์มาก ๆ เช่นกัน 555
จะว่าตอนนี้ไม่ได้เอาเทคโนโลยีมาขยี้ก็ถูก เหมือนเป็นส่วนเสริมมากกว่า หลัก ๆ เหมือนมันเน้นเรื่องประเด็นการถูกกลั่นแกล้ง ที่ว่าฝ่ายรังแกพอเวลาผ่านไปก็ลืม มองว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่สำหรับผู้ถูกรังแก มันกลายเป็นแผลใหญ่ของชีวิต กระทบมาถึงการใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วย
ตอนที่ 3: Hotel Reverie
เล่าเรื่องของบริษัทที่ตั้งใจจะ Revamp ภาพยนตร์เก่าเรื่อง Hotel Reverie กลับมาอีกครั้งด้วยเทคโนโลยี AI ที่สร้างองค์ประกอบของหนังออกมาหมดรวมถึงตัวละคร พิเศษคือสามารถให้นักแสดงจริงเข้าไปมีบทบาทร่วมกับ AI ได้ด้วยเหมือนกัน
แบรนดี้ นักแสดงสาวผิวสี ได้มารับบทเป็นพระเอกของเรื่อง ร่วมกับนางเอกซึ่งเป็น AI อ้างอิงมาจากนักแสดงในอดีตจริง ๆ อย่าง โดโรธี โดยการถ่ายหนังจะเป็นการให้แบรนดี้เข้าไปในโลกเสมือนจริงของหนัง และเข้าไปเล่นบทบาทสด ๆ ในนั้นเลย ทว่าระหว่างทางก็มีอุปสรรคทำให้ไม่ลื่นไหล และแบรนดี้จะไม่สามารถตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความจริงได้ หากไม่ถ่ายหนังจนจบ
เป็นตอนที่มีความโรแมนติกสูง บรรยากาศดรีมมี่ ๆ สไตล์หนังโบราณ เคมีของนางเอกทั้งสองเข้ากันดี สถานการณ์ในหนังก็มีความต้องลุ้น เพราะนอกบทกันเยอะมาก ต้องด้นสด ไหนจะการที่โดโรธีเริ่มรำลึกถึงตัวตนจริง ๆ ได้อีก เส้นเรื่องของตอนนี้ค่อนไปทางบันเทิงสนุก ๆ แต่ก็เล่นกับใจเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนจบ มีความหวานอมขมกลืน
ตอนที่ 4: Plaything
เป็นเรื่องของ คาเมรอน ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมที่ถูกจับกุมตัวได้ ซึ่งระหว่างการสอบสวน เขาก็พูดถึงเกมที่ชื่อว่า Thronglets (จักรวาลเดียวกันกับ Bandersnatch ซึ่งเป็นเกมหนึ่งในอีกตอนของ Black Mirror) เป็นเกมที่คล้าย ๆ เลี้ยงทามาก็อตจิ แต่สัตว์เลี้ยงนี้จะสามารถโคลนนิ่งตัวเองและเพิ่มจำนวนได้ จนถึงจุดนึงมันก็สามารถสื่อสารกับมนุษย์ และบอกความต้องการถึงการเชื่อมต่อควบคุมมนุษย์ทั้งปวง
สำหรับตอนนี้จะมีความกาว ๆ ไม่ได้มีการเสียดสีหรือขยี้ประเด็นอะไรมาก แค่แสดงให้เห็นถึงความ extreme ที่อาจเกิดขึ้นได้หากสิ่งมีชีวิตดิจิทัลสามารถยึดครองมนุษย์ได้จริง ๆ ซึ่งเอาเข้าจริง ก็ยังไม่ได้เห็น impact อะไรขนาดนั้นเพราะหนังตัดจบแบบห้วน ๆ ซะก่อน
ตอนที่ 5: Eulogy
เล่าเรื่องของ ฟิลลิป ชายชราที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว มีอยู่วันหนึ่งเขาได้รับการติดต่อจากบริษัท Eulogy เป็นบริษัทที่รวบรวมความทรงจำของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายออกมาเป็น Memorial ซึ่งผู้ตายก็คือ แครอล แฟนเก่าของฟิลลิปสมัยยังเป็นวัยรุ่น ฟิลลิปใช้เทคโนโลยีของ Eulogy ค่อย ๆ เดินทางย้อนเวลาผ่านภาพถ่ายเพียงไม่กี่ใบ (แถมหลาย ๆ ใบยังเสียหาย) เพื่อระลึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดกับแครอลอีกครั้ง
เป็นอีกตอนที่หน่วงและซึม ยิ่งเรารู้ว่าแครอลตายไปแล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้แล้ว มันก็ยิ่งรู้สึกเศร้าแทนฟิลลิป แถมในเรื่องยังมีจุดที่ทำให้ฟิลลิปต้องช็อกเพราะมารู้ทีหลังว่าตัวเองทำพลาดไป กว่าจะรู้ความจริง ก็ปัจจุบันซึ่งผ่านมาหลายปีแล้ว ความน่าเศร้าก็คือ ไม่ว่าจะรู้สึกยังไง ก็ไม่สามารถดึงแครอลกลับมาได้แล้ว
ตัวเทคโนโลยีของ Eulogy ก็เทพดีตรงที่สามารถเจาะทะลุภาพถ่ายไปได้ ให้เราเหมือนกลับไปอยู่ในช่วงเวลาของภาพถ่ายอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นความทรงจำ
ตอนที่ 6: USS Callister: Into Infinity
เรื่องราวต่อจากตอนก่อนของ USS Callister เมื่อลูกเรือของ USS Callister สามารถหนีจากเซิร์ฟเวอร์ของ โรเบิร์ต ดาลี่ ผู้สร้างเกมได้ แต่ก็ต้องมาติดอยู่ในเซิร์ฟเวอร์สาธารณะของเกม Infinity แทน ทำให้ต้องคอยปะทะกับผู้เล่นอื่น ๆ กลายเป็นเป้าโจมตีไม่มีวันจบ และด้วยความที่พวกเขาเป็นตัวโคลนนิ่งแบบดิจิทัล ไม่ใช่ผู้เล่นจริง ๆ ทำให้ถูกมองเป็นเสมือน Bug ที่ทางบริษัทต้นทาง บริหารโดย เจมส์ วอลตัน คิดอยากกำจัด
รอบนี้ตอนนี้ก็จัดมาเต็ม ๆ 1 ชั่วโมง 30 นาที พอ ๆ กับภาพยนตร์เรื่องนึงเลย เรื่องราวยังคงสนุกเข้มข้น มีอะไรให้ลุ้นระหว่างทางเยอะ มีการเล่าเรื่องทั้งฝั่งในเกมและฝั่งนอกเกมคู่ขนานไปด้วยกัน ได้พบเห็นซีนเจ๋ง ๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ตอนจบเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ แต่ก็ชวนให้อมยิ้มดี
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก thezepiaworld